[Fiction] Let The Rain Fall 15/?

letitrain

 

ฝนเริ่มลงเม็ดลงมาแล้ว ทำให้ฝีเท้าแปรเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่งเพื่อจะไปให้ถึงจุดหมายให้เร็วทีสุด น้ำที่เจิ่งนองบนพื้นสาดกระเซ็นเมื่อถูกฝีเท้าย่ำผ่านไปอย่างรวดเร็ว แทคยอนก็แปลกใจเหมือนกันตอนที่ได้รับข้อความอย่างกระทันหัน ทำให้เขาไม่ทันได้บอกมินจุนก่อน ซึ่งเขาไม่ชอบเลย เขาพยายามที่จะไม่มีความลับกับมินจุน พวกเขาเป็นเพื่อนกันนี่ ไม่ว่ามีเรื่องอะไรเขาก็ตั้งใจจะบอกเล่ากับมินจุนอย่างตรงไปตรงมา เขาไม่อยากให้มินจุนเข้าใจผิด ว่าเขาแอบทำอะไรลับหลัง โดยเฉพาะเรื่องของอูยองด้วยแล้ว เขารู้ว่าเขาไม่ควรออกมาหาอูยองเพียงลำพัง แต่เพราะอูยองติดต่อเขาอย่างกระทันกัน เขาจึงไม่มีเวลาที่จะได้บอกใครเลย แทคยอนที่เพิ่งเสร็จธุระจากการเป็นตัวแทนรุ่นเข้าประชุมงานที่น่าเบื่อของมหาวิทยาลัยในช่วงบ่ายวันอาทิตย์ รีบร้อนออกมาหลังจากประชุมเสร็จ เพราะอูยองบอกว่าออกมารอเขาได้สักพักแล้ว

ชายหนุ่มมาถึงร้านกาแฟเล็กๆแถวหน้ามหาวิทยาลัย แถวนี้มีร้านกาแฟเยอะ แน่ล่ะเพราะมันเป็นแหล่งซ่องสุมชั้นดีสำหรับนักศึกษาที่มีการบ้านหามรุ่งหามค่ำอย่างพวกเขา จะนัดพบเพื่อคุยงาน สังสรรค์ หรืออาจมาเปลี่ยนบรรยากาศในการอ่านหนังสือ หรือไม่ก็แค่เข้ามาหาคาเฟอีนเพื่อให้ตาสว่างพอจะเข้าเรียนได้ และมีชีวิตรอดในช่วงสอบ ร้านนี้เป็นร้านที่เขามักจะแวะมาบ่อยๆ เพราะมันตกแต่งด้วยบรรยากาศที่เหมือนบ้านเก่าๆ เต็มไปด้วยตู้หนังสือ และเบาะนวมที่ทำให้เราฝังตัวอยู่ที่ร้านได้ทั้งวัน มินจุนเคยพาอูยองมาที่นี่อยู่ครั้งสองครั้ง และแน่นอนว่าเขาเองก็ตามมาด้วย จึงไม่น่าแปลกใจนัก ถ้าอูยองจะนัดเจอเขาที่นี่ เด็กหนุ่มตัวเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มเป็นที่สังเกตได้ไม่ยากนักในหมู่เด็กมหาลัยที่เขาคุ้นหน้ากันดี แม้เจ้าตัวจะนั่งก้มหน้าก้มตาไม่สนใจใคร แต่เด็กชายวัยมัธยมก็ดูเด็กกว่าลูกค้าประจำของที่นี่มากนัก เขาใช้มือขยี้เส้นผมที่เปียกชื้นของตัวเอง เมื่อก้าวเข้ามาภายในตัวร้านที่อุ่นสบาย ต่างจากเม็ดฝนเย็นชื้นที่โปรยปรายอยู่ข้างนอก

“อ่า มาแล้วหรอครับ” อูยองสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนเพิ่งหลุดจากภวังค์ความคิดของตัวเอง เมื่อแทคยอนนั่งลงตรงข้ามกับเขา เขาเพิ่งสังเกตว่าฝนกำลังตกลงมาแล้ว และเสื้อผ้าของแทคยอนก็เปียกลู่จนแนบตัว

“ว่าไง”

“ขอโทษนะครับ ฮยองเลยเปียกหมดเลย”

“ไม่เป็นไรน่า ยังไงซะฉันก็ต้องเดินกลับหอ ยังไงก็เปียกอยู่ดี”

แทคยอนสังเกตเห็นถุงกระดาษที่อูยองวางไว้บนโต๊ะ นิ้วมือเล็กเลื่อนมันมาข้างหน้าอย่างช้าๆ

“ผมเอามาคืนน่ะครับ”

“อะไรงั้นหรอ” ชายหนุ่มหยิบถุงมาด้วยความสงสัย เขากับอูยองไม่ได้มีอะไรติดค้างกันสักหน่อย ทำไมจู่ๆอูยองถึงมาหาเขาอย่างรีบร้อน เพื่อจะคืนอะไรบางอย่างให้กับเขา

สิ่งที่นอนอยู่ก้นถุงทำให้เขาประหลาดใจ เมื่อแทคยอนเห็นว่าสิ่งที่อูยองนำมาคืนคืออะไร

“ฉันซื้อให้นายแล้วนี่ มันเป็นของนายแล้ว ไม่ต้องเอามาคืนก็ได้” แทคยอนพูดเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามันเป็นสิ่งที่เขาซื้อให้อูยองเมื่อนานมาแล้ว… อัลบั้มของจุนโฮ

“ฮยองเอาคืนไปดีกว่าครับ” อูยองพูดอย่างแน่วแน่

“หืม ทำไมล่ะ”

“เพราะว่าเป็นของที่ฮยองซื้อให้ ผมก็เลยทิ้งไปไม่ได้ แต่ผมก็ไม่อยากเก็บมันไว้เหมือนกัน”

“มีอะไรหรอ อูยอง” แทคยอนรู้สึกผิดสังเกตในน้ำเสียงของอูยอง ชั่วขณะหนึ่งเขาคิดว่าแพขนตาคู่นั้นมีหยาดน้ำซึมชื้น เขาจำได้ว่าอูยองเคยเล่าให้เขาฟังว่าเพลงของจุนโฮมีความหมายต่ออูยองอย่างไร มันเป็นเพลงที่ทั้งสองคนจูบกัน เป็นเพลงที่นิชคุณใช้บอกรักอูยอง

แต่วันนี้อูยองไม่อยากได้ยินมันอีกแล้ว

“ทะเลาะกันหรอ” แทคยอนเอ่ยถามอย่างห่วงใย เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอูยองไปเดทกับนิชคุณเมื่อวานนี้ มันเป็นไปได้ว่าทั้งสองคนอาจจะทะเลาะกัน

อูยองยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะส่ายหน้า “เปล่าหรอกครับ”

“แล้วทำไมถึงไม่อยากได้แล้วล่ะ”

“มันไม่ใช่เพลงของผม…” อูยองเอ่ยอย่างแผ่วเบา แผ่วเบาราวกับว่าอูยองกลัวว่าตัวเองจะได้ยินมันอย่างชัดเจน และตัวเขาเองที่จะไม่สามารถยอมรับคำพูดของตัวเองได้

ถึงแม้ว่าแทคยอนจะยังไม่เข้าใจ แต่เขาก็รับซีดีแผ่นนั้นคืนมาเพราะแววตาที่จ้องมองราวกับจะขอร้องให้ใครสักคนหยิบมันไปให้พ้นจากสายตา

 

 

นิชคุณวิ่งเหยาะๆฝ่าสายฝนที่เริ่มลงเม็ดเข้ามาในโรงพยาบาล กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อภายในโรงพยาบาลพาเอาความรู้สึกเมื่อวานกลับเข้ามาอย่างชัดเจนจนชวนคลื่นเหียนราวกับว่าความหวั่นกลัวกำลังตีรวนขึ้นมาอีกครั้ง เขายังคงจดจำความรู้สึกปวดแสบราวกับว่าภายในใจถูกแผดเผาอยู่ตลอดเวลาตลอดทางที่รีบเดินทางมาอย่างร้อนรนหลังจากได้รับโทรศัพท์จากชานซองเมื่อวานนี้

เขาตั้งใจจูบอูยองต่อหน้าจุนโฮ เพราะว่าเขากำลังเล่นกับความรู้สึกของอูยองงั้นหรือ เพราะว่าเขาเหนื่อยเกินไปแล้วต่างหาก เขาเหนื่อยกับการวิ่งตามจุนโฮแล้ว เขาเหนื่อยที่เขาเป็นคนที่เจ็บปวดเพียงฝ่ายเดียว เขาอยากมีความสุขบ้าง และเขาก็อยากให้จุนโฮได้เห็นว่าเขาจะเป็นคนที่เดินจากไป ไม่ใช่คนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังเหมือนที่เป็นมาตลอด และหากว่าจุนโฮยังมีความรู้สึก ยังพอจะแคร์เขาสักหน่อย จุนโฮก็ควรที่จะเป็นฝ่ายที่ต้องรู้สึกเจ็บปวดเสียบ้าง แต่ไม่ใช่ด้วยการทำร้ายตัวเองอย่างนี้!

ตอนนี้เปลวไฟร้อนเริ่มลามเลียตัวเขาอีกแล้ว เมื่อเขามาหยุดที่ประตูห้องเดิมอีกครั้ง เขารู้ว่าเขาสามารถพ่ายแพ้ให้แก่จุนโฮได้อย่างง่ายๆ เขารู้ว่าสุดท้ายแล้วเขาอาจเป็นฝ่ายที่ยอมเดินกลับไป เหมือนผู้ชายโง่ๆคนหนึ่ง เพราะเขาอยากอยู่ตรงนั้นเหลือเกิน เขาอยากอยู่ข้างๆจุนโฮอีกครั้ง อยากเห็นรอยยิ้มจนถึงดวงตา อยากได้ยินน้ำเสียงเอาแต่ใจ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มกว้างๆ อยากดูแลจุนโฮให้ดีๆ และบอกรักจุนโฮอีกครั้ง แต่ทันทีที่เขาหมุนเปิดประตูบานเดิม เขากลับพบกับห้องที่ว่างเปล่า ที่นอนถูกพับเก็บราวกับไม่เคยมีใครนอนอยู่บนนั้น ไม่มีวี่แววว่ามีใครอยู่ที่นี่ ทั้งๆที่เมื่อวานนี้เอง ที่เขานั่งอยู่ข้างเตียงนี้ นั่งมองใบหน้าที่เขาคิดถึงและห่วงหาอยู่ห่างออกไปเพียงเอื้อมมือ เขาได้สัมผัส และได้รู้สึกถึงจุนโฮคนที่เขารัก จนมันเหมือนว่าจุนโฮได้กลับมายืนอยู่ตรงหน้าเขา ราวกับว่าพวกเขาไม่เคยห่างกันไปไหน

“อย่าทำแบบนี้สิ”  นิชคุณหยุดยืนที่ข้างเตียง จ้องมองที่นอนที่ว่างเปล่านั้น

เขาแน่ใจว่าเขาไม่ได้เข้าห้องผิด เขาแน่ใจว่าเมื่อวานนี้เอง แค่เมื่อวานนี้เองที่จุนโฮอยู่ที่นี่

 

เขาไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ในห้องนั้นนานแค่ไหน เมื่อรู้ตัวอีกทีเสียงพยาบาลคนหนึ่งก็เดินเข้ามา

“มาหาใครรึป่าวคะ”

“คนไข้ที่เคยอยู่ห้องนี้”

“อะไรนะคะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยความประหลาดใจ

นิชคุณหันกลับไปมองเธอ ซึ่งยิ้มตอบกลับมา

“ห้องนี้ไม่มีใครเข้ามาใช้สักพักแล้วล่ะค่ะ”

“แต่เมื่อวานนี้ผมมาที่นี่”

“เป็นห้องอื่นรึเปล่าคะ มาเยี่ยมคนไข้ท่านไหนคะ”

“จุนโฮ อีจุนโฮ”

“ดิฉันเกรงว่าจะไม่มีคนไข้ชื่อนี้แอดมิทอยู่เลยนะคะ”

“แต่เมื่อวานนี้เขาอยู่ที่นี่”

“ที่นี่ไม่มีใครอยู่ค่ะ” เธอยังคงยืนยัน โดยไม่หลบสายตาจากเขาแม้แต่นิดเดียว

 

“ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าจุนโฮฟื้นแล้ว นายจะรู้เอง”

นิชคุณอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อถึงคำพูดของชานซองเมื่อคืนก่อน เขาก้มลงมองช่อดอกไม้สีขาวในมือ กลีบดอกไม้สดยังคงชื้นน้ำ แต่นิชคุณมองไม่เห็นความสดใสของมันอีกแล้ว ไม่ต่างจากดอกไม้แห้งซึ่งทำจากกระดาษที่ชืดชา เขาเข้าใจแล้ว เข้าใจแล้วล่ะ ไม่มีวันที่นิชคุณจะเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ได้หรอก ยิ่งรักมากเท่าไหร่ เขาจะยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น เขาเป็นใครกันถึงเผลอคิดไปว่าตัวเองจะสามารถห่วงใยคนๆนั้นได้ คนที่เขาไม่สามารถแม้แต่จะจ้องมองได้ด้วยตาเปล่า ไม่สามารถเข้าใกล้ ไม่สามารถสัมผัส เพราะราตรีที่หนาวเหน็บได้ผ่านไปแล้ว ดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงแรงจ้าของมันออกมาอีกครั้ง ถ้าเขายังฝืนวิ่งเข้าหา เขาก็คงมอดไหม้จนไม่เหลืออะไรเลย

 

นิชคุณยื่นช่อดอกไม้ให้กับพยาบาลสาวคนนั้น

“ฝากให้คนไข้ที่อยู่ห้องนี้เมื่อวานนี้ที”

“แต่ไม่มีใคร..” นิชคุณไม่แปลกใจเลยที่เธอยืนยันจะปฏิเสธเหมือนเช่นเคย

“งั้นคุณจะเก็บไว้ก็ได้”

นิชคุณเดินออกจากห้อง เดินออกจากโรงพยาบาลสู่สายฝนที่เริ่มจะตกหนักมากขึ้นทุกที พวกเขาดึงดันกันมานานเกินไปแล้วเหมือนเส้นเชือกที่ต่างฝ่ายต่างดึงจนมันบาดมือที่ไม่ยอมผ่อนแรง เขามองไม่เห็นทางออกสำหรับพวกเขาเลย มันไม่เกี่ยวอีกแล้วว่าจุนโฮจะอยู่ที่ไหน จะอยู่ใกล้หรือไกลจากเขาเพียงใด หากว่าดอกทานตะวันจะเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ได้เฉพาะเมื่อดวงอาทิตย์นั้นดับแสง ความมืดมนนั้นก็คงน่าหวาดกลัวจนเกินไป และเขาก็ไม่สามารถทนอยู่ได้เช่นกัน

 

 

 

ชานซองเข้ามาเปลี่ยนดอกไม้ที่หัวเตียงให้เขาอีกแล้ว เป็นเวลาหกวันมาแล้วที่เขาตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล วันแรกเขาตื่นมาด้วยรสขมปร่าในลำคอ และอาการปวดแสบทั้งในโพรงจมูกในลำคอในช่องท้อง อาการปวดแสบที่ทำให้เขาอาเจียนออกมาทันทีที่รู้สึกตัว เขายังคงสะลึมสะลืออยู่ในสองวันแรก เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ติดๆดับๆ เขาตื่นขึ้นมาเป็นพักๆ เขาเห็นชานซอง และดอกคาเนชั่นสีขาว พอรู้สึกตัวอีกครั้ง เขาจำได้ว่าชานซองพยายามจะพูดอะไรสักอย่างกับเขา แต่เขาไม่สามารถจับใจความได้เลย เหมือนว่าเขาไม่เข้าใจภาษาคนไปเสียแล้ว เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง มันกลายเป็นดอกกุหลาบสีชมพูอ่อน และส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ไปทั้งวัน เขารู้ตัวจริงๆก็ในคืนวันที่สาม เมื่อเขาเริ่มรู้สึกถึงน้ำตาชื้นๆที่ไหลอาบแก้ม และเริ่มรับรู้ได้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังจ้องมองอยู่คือหลอดไฟบนเพดาน

“นายเอาดอกไม้มาจากไหนได้ทุกวัน” ชานซองกำลังจัดดอกไม้ที่ข้างหัวเตียงให้เขาอีกแล้ว วันนี้มันเป็นดอกไม้สีส้มสดแซมด้วยดอกไม้สีเหลือง และดอกไม้เล็กๆสีขาว

ชานซองหัวเราะ เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ชวนหาเรื่องของจุนโฮ บางทีคนตัวแสบคนนี้ก็กลับมาเป็นคนเดิมได้เร็วกว่าที่เขาคิด

“ก็… ซื้อมา”

“อย่ามาโม้เลย นายนี่นะจะซื้อดอกไม้มาให้ฉันทุกวันๆ”

“ใครว่าฉันซื้อให้นายล่ะ ฉันก็ต้องมานอนเฝ้านายอยู่โรงบาลทุกวัน มีแต่สีขาวๆชืดๆชวนขนลุกไปหมด ฉันก็อยากให้ห้องที่ฉันอยู่มันสดชื่นบ้าง”

จุนโฮทำปากมุ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ โดยไม่รู้ตัวว่ายิ่งทำหน้าแบบนั้น มันยิ่งน่ารัก และชวนให้น่าแกล้งมากแค่ไหน

ชานซองอมยิ้มเบาๆขณะจัดดอกไม้ในแจกัน เขาไม่ได้บอกจุนโฮว่าพยาบาลเป็นคนเอาดอกไม้มาให้ เขาไม่มีความจำเป็นต้องบอกว่ามันเป็นดอกไม้ที่มีคนฝากมาให้จุนโฮทุกวันๆ ชานซองไม่สงสัยหรอกว่ามันมาจากใคร มีไม่กี่คนที่จะกลับไปที่ห้องนั้น มีไม่กี่คนที่ยังดื้อดึงขนาดนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะพาจุนโฮหนีมาแล้ว เขาตัดสินใจย้ายห้องของจุนโฮหลังจากที่นิชคุณกลับไป เขาไม่ต้องการให้ทั้งสองคนได้พบกัน เขาไม่ต้องการให้จุนโฮได้เจอกับนิชคุณ ไม่ว่ารอยแผลในใจของจุนโฮจะเกิดจากใคร แต่ว่าเขาตัดสินใจแล้วว่าเขาจะเป็นคนดูแลจุนโฮเอง

“นายก็พักงานฉันยาวเกินไปนะ ฉันหายดีแล้ว” จุนโฮเริ่มบ่นกระปอดกระแปด เพราะว่าเขาหลับไปเกือบสี่วัน จนไม่สามารถคาดเดาช่วงเวลาที่ใช้ในการพักฟื้นได้ ตารางงานของเขาจึงถูกแคนเซิลยาวไปเกือบทั้งเดือน “นอนอยู่เฉยๆ น่าเบื่อชะมัด”

“ดีขึ้นก็ดีแล้ว วันนี้ฉันนัดนักจิตวิทยามาคุยด้วย”

“นักจิตวิทยา? นัดมาทำไมกัน..” จุนโฮพูดราวกับว่ามันเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายที่ไม่จำเป็น สีหน้าของคนตัวเล็กบ่งบอกว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ

“นายกินยานอนหลับเกินขนาดจุนโฮ” ชานซองหยุดจัดดอกไม้แล้ว และน้ำเสียงของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงที่จริงจัง

“ฉันบอกนายแล้วไง ว่าฉันไม่ได้ตั้งใจ” จุนโฮเถียงกลับแทบจะทันทีที่เขาพูดขึ้น

“นายเกือบจะตายอยู่แล้วรู้มั้ย” ชานซองพยายามควบคุมเสียงที่สั่นเพราะความหวาดกลัวของตัวเอง แต่มันกลายเป็นฟังดูเหมือนว่าเขากำลังขึ้นเสียงใส่จุนโฮ

“นายคงกลัวจะตกงานสินะ” จุนโฮหัวเราะออกมา

“อีจุนโฮ!!”

“ฉันพูดผิดตรงไหนล่ะ ถ้าฉันตาย นายก็คงตกงาน แต่ก็ดีไม่ใช่หรอ นายอาจจะได้ไปดูแลสาวๆเกิร์ลกรุ๊ปแทน” รอยเหยียดยิ้มที่มุมปากของจุนโฮ ยั่วโมโหเขาได้ดีจริงๆ

“อย่าดูถูกความห่วงใยของฉัน นายไม่รู้หรอกว่าฉันรู้สึกยังไง ตอนที่เข้าไปเจอสภาพนายอย่างนั้น นายไม่รู้หรอกว่ามันเหมือนว่านายก็ฆ่าฉันทั้งเป็นไปด้วย”

ชานซองจ้องเข้าไปในดวงตาของจุนโฮขณะที่พูด มองเห็นแววตาที่วูบไหว ก่อนที่ร่างเล็กจะจ้องมองตอบกลับมา และเอ่ยอย่างชัดเจน

“ฉันนอนไม่หลับ ฉันกินยาไปแล้ว และมันก็ยังไม่หลับ ฉันก็เลยกินเพิ่มไป แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าตัวตาย”

“ชานซอง ฉันไม่ได้ทำ ฉันไม่ได้ทำจริงๆนะ” จุนโฮย้ำกับเขาอีกครั้ง

ชายหนุ่มถอนหายใจยาว เขาอยากจะเชื่อคำพูดของจุนโฮจริงๆ

“งั้นก็คุยกับเขาเรื่องที่ทำให้นายนอนไม่หลับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ถือว่าได้พูดคุยระบายความเครียดไป โอเคมั้ย”

เขารู้ว่าจุนโฮยังไม่ยอมจะฟังเขาเท่าไหร่นัก แต่คนปากเก่งก็ไม่ได้โต้เถียงอะไรอีก

“ถือว่าฉันขอนายสักเรื่องแล้วกัน”

 

จุนโฮตื่นขึ้นในกลางดึก มีแสงไฟจากห้องน้ำและกลิ่นแชมพูอ่อนๆลอยออกมา ชานซองอยู่เฝ้าเขาแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง จนต้องขนเสื้อผ้ามากินนอนที่โรงพยาบาลไปด้วย เขาเคลิ้มหลับไปตั้งแต่หัวค่ำหลังจากอาหารมื้อเย็น และได้ยาคลายเครียดที่มีฤทธิ์นอนหลับอ่อนๆ ไม่นานนักชานซองก็ออกมาจากห้องน้ำ มีหยดน้ำเกาะพราวบนเส้นผม ร่างสูงยิ้มเมื่อเห็นว่าจุนโฮตื่นอยู่ เขาเดินสาวเท้ามานั่งข้างๆเตียง

“ฉันทำเสียงดังรึป่าว”

“นายร้องเพลงตอนที่อาบน้ำใช่มั้ย” จุนโฮหัวเราะ เขาตื่นขึ้นมาเอง และแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แต่เขาก็ยังติดนิสัยแย่ๆที่จะต้องพูดแหย่ชานซองให้ได้ทุกที อาจจะเป็นเพราะว่าเขารู้ดีว่าชานซองไม่เคยโกรธเขาเลย

“นอนต่อเถอะ ดึกแล้ว”

“อืม” ดวงตาเรียวปรือจะหลับอยู่รอมร่อ แต่ริมฝีปากก็พึมพำออกมา “ชานซอง ถามหน่อยสิ”

“อะไรหรอ”

“ตอนที่ฉันหลับอยู่ มีใครมาเยี่ยมฉันบ้างมั้ย”

“มีสิ ท่านประธานไง รีบบินกลับมาจากต่างประเทศ เพื่อมาดูนายเลยนะ”

“แล้วคนอื่นล่ะ มีใครอีกมั้ย”

“ไม่มี ไม่มีแล้ว เพราะเราต้องเก็บเรื่องนายเป็นความลับ” ชานซองเอ่ยด้วยเสียงที่อ่อนโยน

“ฉันฝัน” จุนโฮหลับตาลง พยายามนึกถึงภาพในฝันนั้น ใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างเตียง ใครคนหนึ่งที่จับมือของเขาไว้ขณะที่เอ่ยเรียกชื่อเขาอย่างแผ่วเบา

“ฝัน?”

“ฉันคงฝันไปละมั้ง”

“เป็นฝันดีหรือฝันร้ายล่ะ”

จุนโฮเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยคำตอบที่ชวนให้ใจของชานซองกระตุกวูบ

“…ฝันดี”

ชานซองก้มมองร่างเล็กที่นอนหลับตา รอยยิ้มบางๆยังคงระบายอยู่บนริมฝีปาก จุนโฮกำลังนึกถึงคนในฝันดีนั้นอีกครั้ง

 

 

 

อูยองอยากใช้เวลากับนิชคุณ โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาไม่ได้มีเวลาว่างตรงกันได้บ่อยๆ แต่เพราะวันสอบปลายภาคที่กำลังจะมาถึง เขาถึงทำได้เพียงขอมาอ่านหนังสือกับพี่คุณแทนที่จะนั่งอ่านอยู่ในห้องตัวเอง แต่แค่นี้เขาก็ดีใจมากแล้วที่นิชคุณอนุญาต อูยองได้พื้นที่บนเตียงเหมือนกับตอนเด็กๆที่พอถึงช่วงสอบของโรงเรียนเขาจะหอบหนังสือมาอ่านไปพร้อมๆกับนิชคุณ เขาวางหนังสือได้เต็มเตียง ในขณะที่นิชคุณจะนั่งอ่านหนังสืออย่างเงียบๆที่โต๊ะทำงาน ตอนนี้นิชคุณเรียนจบแล้ว จากที่เคยนั่งอ่านหนังสือเป็นเพื่อนกัน นิชคุณจึงกำลังนั่งทำงานในขณะที่ปล่อยให้อูยองนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงซึ่งดูจะเล็กลงจากที่เขาจำได้ ก็เมื่อก่อนเขาตัวเล็กนิดเดียว เตียงก็ดูจะมีพื้นที่ให้ยื่นแข้งยื่นขามากกว่านี้

“จางอูยอง” เสียงดุๆดังมา ไม่ทันที่อูยองจะเอนตัวลงนอนเลยด้วยซ้ำ ทั้งๆที่นิชคุณนั่งหันหลังให้เขาอยู่แท้ๆ แต่กลับมองเห็นว่าเขากำลังจะอู้ได้ยังไงกันนะ

“ขอพักแป๊ปนึงสิครับ ผมนั่งอ่านหนังสือติดกันมาสามชั่วโมงแล้วนะ” อูยองงอแง จนนิชคุณต้องลุกขึ้นและเดินมาหาเด็กน้อยที่ทำหน้าบูดบึ้ง

“อ่านได้กี่วิชาแล้ว”

“นี่เป็นแฟนหรือพ่อครับ”

นิชคุณส่ายศีรษะด้วยความอ่อนใจ อูยองน่ะพอบทจะดื้อ ก็เป็นเด็กดื้อดีๆคนหนึ่งเลยล่ะ

“พัก พักก็ได้”

เด็กดื้อที่พอโดนตามใจก็ยิ้มหวานซะจนตาปิด

อูยองล้มตัวลงนอนบนเตียงทันทีที่คนพี่อนุญาต

“สิบนาทีนะ”

“ครับผม”

“รออยู่นี่ เดี๋ยวไปหาขนมมาให้กิน”

“เอาไอติม”

นิชคุณหลุดหัวเราะออกมา “บ้านฉันมีที่ไหนล่ะ”

“นั่นไง งั้นเราออกไปหาไอติมกินกันนะ” เสียงใสแจ๋วเอ่ยอ้อน แต่คนพี่ก็ดูจะไม่หลงกลง่ายๆ

“ตกลงอ่านจบกี่วิชาแล้วครับ”

“หนึ่ง หรือสองนะ น่าจะใกล้จบสองวิชาแล้วนะ..” อูยองเอ่ยเสียงกระอ้อมกระแอ้ม เพราะตัวเองก็ยังอ่านไม่ถึงไหน แต่เขาก็อยากกินไอศกรีม และก็อยากออกไปเที่ยวกับพี่คุณด้วย หลังจากวันนั้น พวกเขาก็ยังไม่ได้ออกไปไหนด้วยกันอีกเลย

“อ่านหนังสือสอบไป เดี๋ยวออกไปซื้อให้”

“ไปด้วย..”

“นายไม่ได้ไปไหนหรอกเด็กน้อย ถ้าอ่านหนังสือไม่จบ ก็ห้ามออกจากห้องนี้เป็นอันขาด”

“พี่คุณณณ!” เสียงโวยวายของอูยอง ทำให้คนพี่ฉีกยิ้มกว้าง

“ตอนเย็นจะพาไปกินข้าวดีมั้ยน้า แต่ถ้าอ่านไม่จบก็ไม่น่าชวนออกไปซะด้วยสิ”

อูยองที่ล้มตัวลงนอนไปแล้วรีบลุกขึ้นนั่งในทันที

“จบครับ อ่านจบแน่ๆ”

นิชคุณอดหัวเราะกับท่าทางกระตือรือร้นในทันทีทันใดของอูยองไม่ได้ เด็กคนนี้เป็นคนที่แสดงความรู้สึกได้ซื่อตรงจริงๆนะ

“แต่ขอกำลังใจหน่อยได้ป่าว” ตากลมคู่เล็กๆ เงยขึ้นมองคนพี่ ก่อนที่คนพี่จะทันตั้งตัว ร่างเล็กก็ยันตัวลุกขึ้นและจุ๊บแก้มของนิชคุณอย่างรวดเร็ว

“ไปซื้อไอติมให้หน่อย” อูยองกระพริบตาปริบๆอย่างใสซื่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

อูยองก็ไม่สามารถยอมรับออกมาได้หรอกว่าเพราะอ่านหนังสือกับนิชคุณนี่แหละที่ทำให้เขาเสียสมาธิ และใช้เวลาอ่านซ้ำไปซ้ำมากับประโยคเดิมๆเสียหลายรอบ เพราะเขาเอาแต่คิดถึงคนที่อยู่ด้วย ขืนพูดไปเขาก็โดนไล่กลับบ้านกันพอดี แต่พอให้นิชคุณออกไปข้างนอกเสียบ้าง เขากลับอ่านเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว อูยองถึงรีบจดสรุป และขีดเส้นใต้ใจความสำคัญเอาไว้

แต่ปากกาของเขาพอเขาจะขยันเข้าหน่อย จู่ๆมันก็เขียนไม่ติดซะอย่างนั้น

อูยองมองไปรอบๆห้อง ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอน เพื่อไปดูที่โต๊ะของนิชคุณ

โน๊ตบุคที่นิชคุณใช้นั่งทำงานถูกเปิดทิ้งไว้บนโต๊ะ พร้อมแฟ้มเอกสารกองย่อมๆ อูยองเลื่อนเปิดลิ้นชักเพื่อมองหาเครื่องเขียนใดๆ เขาไม่ได้ตั้งใจจะรื้อข้าวของของนิชคุณ เมื่อไม่พบ เขาจึงกำลังจะเลื่อนปิด แต่สายตากลับสะดุดที่รูปถ่ายซึ่งโผล่มาเพียงเสี้ยวนึงแต่กลับดูคุ้นตา เพราะอูยองเคยเห็นมันสองครั้งแล้ว ครั้งแรกในวันที่นิชคุณกลับมาเกาหลี ครั้งที่สองคือบนโต๊ะทำงานที่บริษัทของนิชคุณ ตอนนี้อูยองรู้แล้วว่าคนในรูปนั้นคือใคร นิชคุณและจุนโฮส่งยิ้มที่สดใสออกมาจากในภาพขณะที่อูยองหยิบมันขึ้นมา อูยองรู้ว่าไม่ควรคิด แต่เขาเอาแต่คิดถึงตอนที่นิชคุณอยู่อเมริกา ตอนที่ทั้งสองคนคบกัน พวกเขาเคยเป็นคนรักกัน คำพูดในวันนั้นของนิชคุณยังคงย้ำอยู่ในความคิด

ฉันรักเขา ฉันยังรักเขา

นายยังอยากจะคบอยู่มั้ย

เพราะฉันยังรักใครไม่ได้หรอก

มันไม่ใช่ว่าอูยองจะตอบไปโดยไม่คิดอะไรเลย เขาถามตัวเองมานับพันๆครั้ง ว่าเขายังอยากจะอยู่ตรงนี้มั้ย เขาไม่รู้หรอกว่าความรักที่แท้จริงแล้วคืออะไร เขารู้แต่ว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนเพียงแค่เขาคิดว่าจะหยุดรักนิชคุณ เขาก็ทนไม่ได้แล้ว

อูยองจ้องมองรูปภาพนั้น ก่อนที่เขาจะพับมัน เขาพับรูปของจุนโฮซ่อนไปด้านหลัง และใช้นิ้วกรีดรอยพับจนเป็นรอยคม มันไม่สำคัญอีกแล้วนี่ ว่านิชคุณจะยังรักจุนโฮอยู่มั้ย ในเมื่อนิชคุณก็เลือกแล้วที่จะเก็บรูปนี้ไว้ก้นลิ้นชัก เขาก็ไม่ควรจะรื้อมันออกมา อูยองดันมันกลับเข้าไปให้ลึกที่สุด ก่อนจะเลื่อนลิ้นชักให้ปิดลง

“ทำอะไรอยู่”

อูยองหันกลับไปหานิชคุณที่เดินกลับเข้ามาในห้องพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นที่มีให้เขาเสมอ

“ปากกาผมหมึกหมดอ่ะ คุณฮยองมีปากกามั้ยครับ หาไม่เจอเลย”

นิชคุณหัวเราะเล็กน้อย ขณะที่เดินไปหาคนตัวเล็กที่โต๊ะ

“ฉันว่ามีอยู่แถวๆนี้นะ” นิชคุณใช้มือข้างหนึ่งยันไว้ที่โต๊ะ แล้วเอื้อมมืออีกข้างอ้อมไปด้านหลังของอูยอง ทำให้อูยองเหมือนถูกล็อกไว้ในอ้อมแขน รอยยิ้มกรุ่มกริ่มระบายบนเรียวปากอิ่ม นิชคุณสนุกกับการแกล้งให้อูยองเขินอายเล่นไปเสียแล้ว โดยเฉพาะในเมื่อวันนี้อูยองทั้งดื้อทั้งงอแง มันถึงยิ่งน่าแกล้งเข้าเสียหน่อย เขาเคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้อูยองจนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆที่ติดขัดของคนน้อง ขณะที่เขาแกล้งอ้อยอิ่งกับการควานหาปากกาที่เขาก็รู้ดีอยู่แล้วว่ามันอยู่ตรงไหน

“นี่ไง” นิชคุณกำลังจะหันกลับมาหาอูยอง ตอนที่อูยองขโมยจุ๊บแก้มเขาอีกครั้ง

ร่างสูงมองสบตาคนตัวเล็กที่จ้องมองตอบกลับมา ทั้งๆที่เขินอายจนใบหูเป็นสีแดงไปหมดแต่อูยองก็ไม่ได้หลบสายตาแม้เพียงนิดเดียว ดวงตากลมใสออดอ้อนจนนิชคุณก็อดไม่ได้ที่จะมองว่าอูยองนั้นน่ารัก ร่างเล็กเอื้อมมือออกมาโอบโน้มรอบลำคอของนิชคุณ

“เป็นอะไร ไม่อ่านหนังสือแล้วหรอ” นิชคุณพูดเมื่อแก้มนิ่มๆแนบพิงลงบนบ่า ออดอ้อนคลอเคลียราวกับเป็นลูกแมวตัวน้อยๆ

“เดี๋ยวอ่าน” คำตอบที่เหมือนเด็กดื้อชัดๆ น่าแปลกที่ทำให้คนฟังโกรธไม่ลง

นิชคุณถอนหายใจยอมแพ้ ขณะที่อุ้มอูยองขึ้นไปนั่งบนโต๊ะ พร้อมกับเลื่อนปิดลิ้นชักที่อูยองปิดไว้ไม่สนิท ขณะที่อูยองยังคงโอบกอดเขาไว้ในอ้อมแขน

“พี่คุณ”

“ครับ?”

“ถ้าผมสอบเสร็จแล้ว เราต้องไปเที่ยวกันอีกนะ”

“ไปสิ ถ้าอูยองไม่สอบตกนะ จะพาไปเที่ยวทุกที่ที่อูยองอยากไปเลย” นิชคุณหัวเราะเบาๆ

“ผมเรียนเก่งมากนะรู้มั้ย” คำตอบของคนตัวเล็ก ยิ่งเรียกรอยยิ้มให้ระบายกว้างบนเรียวปากของนิชคุณ

“งั้นหรอ”

“ไปดูหนังด้วยกัน ไปกินไอติมด้วยกัน ไปร้านเค้กอร่อยๆ แล้วก็ไปแคมป์ปิ้งตอนวันหยุด ไปเที่ยวทะเลแล้วก็ดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยกัน”

อูยองคลายอ้อมกอดออกเพื่อที่เขาจะสามารถมองหน้านิชคุณได้ใกล้ๆ นิ้วมือเรียวเลื่อนไล้บนเครื่องหน้าของนิชคุณจากคิ้วเข้มมายังเปลือกตา เส้นขนตางอนยาว มาจนสันจมูกโด่งคม นิ้วเรียวเลื่อนสัมผัสจากปลายจมูกมาบนริมฝีปากอิ่มหยักที่กำลังระบายรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนที่กลีบปากบางจะโน้มลงจูบบนริมฝีปากหนาอย่างแผ่วเบา ถึงแม้ว่าอูยองจะถอนจูบออกอย่างรวดเร็ว แต่รสสัมผัสอุ่นที่ยังคงติดอยู่บนริมฝีปากก็ทำให้อูยองแน่ใจขึ้นอีกสักหน่อย ว่านิชคุณอยู่ตรงนี้กับเขาแล้วจริงๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

Note:

น่าสงสารนิชคุณนะคะ คนรักเก่าก็ยังลืมไม่ได้ แล้วยังมาเจอเด็กทำรถอ้อยคว่ำใส่อีก
อูยองเรื่องนี้เหมือนถือบทนางร้ายในละครนะจริงๆ 55
อารมณ์แบบเป็นคนรู้จักใกล้ชิดกับพระเอกมาตั้งแต่เด็ก แม่พระเอกก็สนับสนุน
เดินเข้าออกบ้านพระเอกได้ แต่พระเอกดันไปรักคนอื่นที่เจอกันทีหลัง
ตัวร้ายอย่างเราก็ต้องสู้ต่อไปนะลูกนะ ยั่วอิพี่มาให้ได้ ถถถ

 

 

 

 

9 comments

  1. เรามารอไรท์ที่ท่าน้ำทุกวันเลย 555555555 สงสารน้องด้งน้อย😭 โดนอิพี่ทำร้ายหัวใจได้ทุกเวลาจริงๆ สู้ๆนะคะไรท์ ❤️

  2. อ่าาาา ไม่รู้จะสงสารใครดีเลยตอนนี้
    แต่ทุกคนก็รักตัวเอง เห็นแก่ตัวเองเป็นธรรมดาแหละเนอะ ^^

    ขอบคุณไรท์ค่ะ ^^

  3. เข้ามาเจอไรท์อัพว่าดีใจแล้ววว เจออูยองอัพเวลออดอ้อนไปอีกกกก เลิฟแรงงงงง
    สงสารอูยองอ่าตอนเอาซีดีไปคืน เฮ้อออ หลงคิดว่าเป็นเพลงที่มีความหมายมาซะนาน พาปวดใจซะงั้น
    ดีแล้วที่อูยองเข้มแข็ง สู้ๆ นะน้องนะ เดี๋ยวนี้ปาดน้ำตาให้เอง /ปาดของตัวเองด้วย
    ในเมื่อเดียงสาแล้วไม่ได้อิพี่ก้ปลุกปล้ำ(?)เลยค่ะ #ผิด
    เอาความน่ารักพันสี่สิบแปดเข้าสู้แทน อิพี่ก็อิพี่เถอะ หึหึ เจอรถอ้อยคว่ำต่อหน้าขนาดนี้ จะไม่หยิบมากินเรอะะะ อิอิ

    แอบเจ็บใจนิดๆ ตอนพี่คุณไปหาโฮด้วยความคิดแบบนั้น ที่แบบถ้าแค่รั้งไว้ก้พร้อมจะกลับไป หึหึ
    แต่ในเมื่อพี่คุณคิดได้แล้วว่าสิ่งที่ตัวเองไล่ตามมันเจ็บปวด มันเหนื่อย มันท้อ ขนาดนี้ก็หยุดเถอะ /กลับลำไม่ด่าแทบไม่ทัน
    หยุดจริงๆ จังๆ ไปเลยมันก็คงยาก แต่ก้ต้องพยายามให้มากขึ้น
    ในเมื่อวิ่งตามแล้วเหนื่อยเราจะวิ่งทำไม ในเมื่อมีคนที่อยู่ข้างๆ กัน คอยเดินไปด้วยกันแล้วแท้ๆ
    หันมามองน้องที่คอยอยู่เคียงข้าง พยายามรักน้องให้ได้เหมือนที่พยายามไล่ตามเขาในตอนนั้นเนอะ
    เห็นมั้ย ตอนนี้น้องแสนดีและน่ารักขนาดไหน
    หลงรักน้องเมื่อไหร่จะถอนตัวไม่ขึ้นคอยดู!

    ตอนนี้ไม่มีอะไรจะด่า(?)อิพี่เลยค่ะ แหม่
    ขอบคุณความหวานเบาๆ นะคะ ขอบคุณที่ดึงความดื้อความขี้อ้อนง้องแง้งองแงของน้องออกมา
    น่ารักอะไรเบอร์นี้ งื้ออออ
    ชอบพี่คุณแกล้งน้องงงงง เขินนนนน
    ตอนที่แล้วขอตอบค่ะ เตรียมบาซูก้านั่น เตรียมให้ไรท์คนแรกเลยค่ะ 5555555555
    แต่สงสัยคงได้ใช้ตอนหน้า(?) หรือเปล่านะ ถถถถ
    มาต่อต้นเดือนงี้ เค้าต้องรอไปอีกเดือนหน้าเลยสิ น้านน่านนานนนน *เสียงอูยอง*
    สู้ๆ นะคะ >3<

  4. งื้อออออออ สงสารชานซอง สงสารจุนโฮ สงสารนิชคุณ สงสารอูยองงงงง
    เอิ่มมมม อูยองน่ารักเกินไปแล้วววววว แล้วงี้พี่คุณจะไม่ลืมจุนโฮแล้วหลงรักอูยองได้เหรอ
    ชานสู้ๆนะ ความรักชนะทุกสิ่ง

  5. ในที่สุดเราก็อ่านมาถึงตอนล่าสุด ง่วงมาก แต่ไม่อ่านก็คงนอนไม่หลับ
    ยังไงก็ไม่ชอบนิชคุณอยู่ดี ทำมาบอกว่าเหนื่อยที่จะตามจุนโฮ เห็นที่พูดๆมามันก็เหมือนแค่ลมปากข้ออ้าง ที่จูบอูยองต่อหน้าจุนโฮ ดูยังไงๆจุดประสงค์มันก็คือการประชดประชัน อยากให้เค้าเจ็บเหมือนที่ตัวเองเป็นอยู่ เห็นแก่ตัวที่สุด สงสารก็แต่อูยอง ที่ต้องเข้มแข็ง ทั้งๆที่ตัวเองใจจะขาดอยู่แล้ว
    อูยองก็รุกจุง เราอิจฉานิชคุณเลย 5555 อูยองนี่ต้องแกร่งเบอร์ไหนนะ ถึงยังสามารถยิ้ม พูดคุยกับคนที่ทำร้ายตัวเองขนาดนี้ได้ สงสารทุกตัวละครเลย จริงๆ แต่คนพี่นี่สงสารน้อยสุด ถึงขั้นเกลียดเล็กๆ 555

    มาต่อเร็วๆนะคะ รอ ร๊อ รอ เอะเฮะ

  6. T_T ทำไมสงสารอูยอง ทำไมยิ่งอ่านยิ่งน้ำตาไหล
    เหมือนนางร้ายที่หลอกตัวเองไปวันๆ แล้วจุดจบของนางร้ายหละจะเป็นยังไง
    จะเป็นเหมือนละครไทยของเราหรือป่าว แค่คิดก็หนักหน่วงหัวใจมาก
    ได้โปรดให้น้องเป็นคนที่รู้ตัวสะที… เจ็บครั้งเดียวดีกว่าเจ็บตลอดชีวิตนะ
    พี่ชัดเจนได้ไหม อย่าเห็นแก่ตัวสิ ฮือฮือๆ

  7. เข้าใจโฮ เข้าใจพี่คุณ เข้าใจด้ง
    โฮก้อเจ็บปวดที่ต้องเลือกระหว่างความฝันและความรัก
    พี่คุณก้อมีรักเดียวที่ไม่เคยคิดจะเลิกรัก แต่เขาไม่อยู่ให้รัก
    ด้งก้อเช่นกัน รักเดียวที่ไม่เคยเลิกรัก แต่พยายามที่จะทำให้เขารักT_T
    งื้อ!!!! ชอบๆๆๆๆ รออ่านตอนต่อไปค่ะ รอๆๆๆ>,<

  8. ติดตามมาก สงสารไปหมดโดยเฉพาะอูยอง ด้งน้อยน่ารักของเรา หมั่นไส้นิชคุณ ทำให้รักแล้วทำให้หงอเลยนะด้งน้อย สู้ ๆ ค่ะไรท์ ชอบ ๆ ขอบคุณค่ะ อ่านติดจนดึกเลย

Leave a reply to michi Cancel reply